เทศน์เช้า

สมาธิต่างกับฌาน

๒๕ มี.ค. ๒๕๔๔

 

สมาธิต่างกับฌาน
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๔๔
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

“ภวังค์” กับ “สมาธิ” ต่างกันอย่างไร?

ภวังค์นี่เราบอกเลย “ภวังค์ต่างกับสมาธิ” ถ้าทำสมาธิ จิตเวลาสงบขึ้นมา สมาธิมันสำคัญตรงไหน สำคัญตรงสติ สติสัมปชัญญะอยู่ มันละเอียดอ่อนขนาดไหนนะ มันจะโยกคลอน มันจะตก มันจะวูบวาบอย่างไร สติมันจะตามไปทันพร้อมตลอดเลย นี่สติตามทัน แล้วจะลงสมาธิไม่ลงสมาธิ อย่างนั้นมันไม่ลงสู่สมาธิเพราะมันโยกมันคลอน มันกำลังจะเข้าปากทางลงสมาธิไง เวลามันตกจากที่สูงมันจะวูบไป สติมันจะรู้ มันจะตกใจ มันจะถอนขึ้นมา วูบมาอย่างนี้

อย่างนี้ไม่ใช่ภวังค์ อย่างนี้คืออาการจิตที่มันจะเข้าสมาธิ สำคัญที่สติ แต่พอสติตัวนี้มันอ่อนตัวลงๆ แล้วมันดับปั๊บ มันจะเงียบหายไปเลย อันนั้นคือภวังค์ ภวังค์คือขาดสติ ภวังค์คือขาดสตินะ ถ้ามีสติอยู่จะไม่เป็นภวังค์ เพียงแต่ว่าสมาธิมันจะลงหรือไม่ลงนั้นเป็นสมาธิอย่างหนึ่ง

แต่ถ้าภวังค์มันจะหายไปเลย หายกี่ชั่วโมงก็ได้ แล้วภวังค์นี้แปลกด้วย กำหนดเวลาออกได้อีกด้วย หายไปถึง ๒-๓ ชั่วโมง แล้วสะดุ้งตื่นขึ้นมาออกมา ขณะที่ตกภวังค์อยู่จะไม่มีสติเลย ไม่รู้อะไรทั้งสิ้น เงียบหายไปเลย

แต่ถ้าเป็นสมาธินะ ลึกซึ้งขนาดไหน มันจะตามรู้ตามเห็นไปตลอดเลย จิตนี้มันจะตามเห็นไป ตามรู้ไป แล้วจะไปลึกซึ้งหรือว่ามันจะลึกขนาดไหนนั่นคือผลของสมาธิ ถ้าผลนี่ผลสมาธิ แล้วสมาธิกับฌานต่างกันอย่างไร?

“ฌาน” เห็นไหม ทางภาคกลางเราส่วนใหญ่นะ เกจิอาจารย์นี่จะกำหนดฌาน ทำฌานขึ้นมา ฌานมันความรู้ที่ส่งออกไง พลังงานนะ พลังงานธรรมดาของโลกเขา พลังงานนี่มันจะพุ่งออกไปข้างนอก พลังงานตัวนี้มันเป็นพลังงานของฌาน

ศีล ฌาน ปัญญาไม่มี มีศีล สมาธิ ปัญญา ศีล ฌาน ปัญญาไม่เคยได้ยิน เห็นไหม เพราะว่าพอมันไม่มีศีลมันก็กำหนดทำฌานได้ แต่ถ้าศีล สมาธิ ปัญญา ต้องมีศีลก่อนถึงจะมีสมาธิ อัปปนาสมาธินี่ ศีล สมาธิ ปัญญา เกิดสมาธิตัวนี้ สมาธิตัวที่ว่าเราทำความสงบร่มเย็นเข้ามา มันเป็นสมาธิ มันไม่ส่งออก

ถ้าเป็นฌาน เหมือนพลังงานที่ส่งออก เห็นไหม เหมือนกับเป็นฌาน จิตนี่กำหนดน้ำเลย ให้น้ำนี้แข็งตัว แล้วเดินไปบนน้ำ เดินไปได้เลย เดินไปบนน้ำ กำหนดไปในอากาศ นี่เป็นฌาน แต่มันส่งออกนะ แล้วเราได้ยินครูบาอาจารย์หลายองค์เลย ครูบาอาจารย์ที่มีชื่อเสียงมากเลย เวลาพอแก่เฒ่าไปจะบอกเลยว่า “เสียดายมาก เสียดายเวลาของเรา เพราะมาผิดทางแล้ว”

พอมาผิดทางไง เวลามีเป็นทำฌานขึ้นมา มันเกจิใช่ไหม? ก็ทำของขึ้นมา จะมีคุณวิเศษ พอคุณวิเศษทำออกไปคนก็ยกย่องไง พอคนยกย่องมันติดในอารมณ์นั้น มันก็มีความสุขสิ ใครมาก็ยกย่องเป็นครูบาอาจารย์ขึ้นมา มันก็เสพสุขอยู่อันนั้นออกไป แต่พอเวลาคนมันใกล้จะดับขันธ์ คนเรามันใกล้จะตาย สมบัติส่วนตัวมีอะไรไป?

ว้าเหว่นะ พอเริ่มต้นว้าเหว่ เริ่มว่าอ้าว.. จ๊ะ.. เมื่อก่อนตายยังมีเวลา เรายังไม่ตาย ยัง เมื่อไหร่ก็ได้ พอใกล้ตายขึ้นมา จะกึก.. กึ้ก.. เลยนะ เราได้ยินมาเลย ลูกศิษย์ของเขามาพูดหลายองค์ บอก ครูบาอาจารย์เขาจะบอกเลยว่า เสียดายมาก มาผิดทาง มานี่มาผิดทาง กลับไม่ไหว เพราะใจมันด้าน เพราะใจมันแบบว่ามันทุกวันๆๆ ใจมันด้านแล้วมันกลับไม่ไหวแล้ว นี่ฌานสมาบัติ ฌานเป็นอย่างนั้น แต่ถ้าเป็นสมาธิไม่เป็นแบบนั้น

นี่ถึงบอกว่าคนเรานี่ โลกดูสิ นอนหลับนะ นอนหลับจากศีลธรรมไง ไม่สนใจเรื่องการประพฤติปฏิบัติ อยู่อย่างนั้นนี่นอนหลับ ไปบอกเรื่องประพฤติปฏิบัติ เขาจะไม่ฟัง นี่เขาหลับอยู่ อุตส่าห์ปลุกให้เขาตื่นนะ ฟังธรรมทุกวันๆ นะ ไอ้สิ่งที่ว่าอามิสทาน มันทำบุญกุศลขึ้นมามันก็เป็นอามิส มันก็เวียนไปเวียนเกิดอยู่ ถ้าปฏิบัติแล้วมันจะชำระภพชาติได้

นี่อุตส่าห์ปลุกจากหลับให้ตื่นขึ้นมา พอตื่นขึ้นมาจะมาปฏิบัติก็มาติดนะ มาพิการซะ มาหลับใหลไปกับภวังค์ มาหลับใหลไปกับฌาน ฌานนี่ส่งออก เห็นไหม พอฌานนี่ส่งออกไปนะ หลับใหลตรงไหน หลับใหลตรงที่ว่าพอมีพลังงานขึ้นมา มันเป็นไป พอมันเป็นไป ไม่ยกวิปัสสนา สิ่งที่ทำขนาดไหนก็แล้วแต่ มันเป็นผลอันหนึ่ง แต่มันไม่เกิดประโยชน์ขึ้นมา ไม่ได้วิปัสสนาไง ถ้าวิปัสสนาจะชำระกิเลสได้

ถ้าวิปัสสนาหมายถึงว่าศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าศีล สมาธิ ปัญญาเกิดความสงบเข้าไป ยกเว้นพยายามดูกาย เวทนา จิต ธรรม ถ้าดูกาย เวทนา จิต ธรรม นั่นน่ะปัญญา วิปัสสนาปัญญามันจะออก วิปัสสนาเกิดๆ ตรงนี้ไง ถ้าวิปัสสนาเกิดขึ้น ภาวนามยปัญญามันถึงจะเกิด ถ้าภาวนามยปัญญามันเกิด มันจะเข้ามาชำระทำให้ความลังเลสงสัยของเรามันจะขาดออกไป ไม่ใช่ปล่อยวางนะ

การปล่อยวางทั่วไปนะ เขาบอกพระเขาบอกปล่อยว่างวางเฉย ถ้าคำว่า “ปล่อยว่างวางเฉย” แสดงว่าไม่ใช่ปล่อยวางแล้ว เพราะปล่อยว่างแล้วมันปล่อยวาง ทำไมต้องไปวางเฉยอีกล่ะ? คำว่า “วางเฉย” นี่ก็แสดงว่ารักษาใจไว้ ถ้าปล่อยว่างด้วยวางเฉย ต้องรักษาใจ ถ้าไม่วางเฉยมันก็ขุ่นมัวสิ เพราะมันปล่อยวางเฉยๆ มันขุ่นมัว

แต่ถ้าวิปัสสนาญาณเกิดขึ้น มันไม่ใช่ปล่อยว่างวางเฉย มันชำระขาดออกไปเลย มันขาดออกไป สิ่งที่ขาดออกไปมันไปวางเฉยที่ไหน? มันไม่มีอะไรวางเฉย ไม่มีเป้าหมายที่วางเฉย เพราะมันหลุดออกไปจากใจ มันไม่มีสิ่งใดวางเฉยเลย นี่ภาวนามยปัญญามันเกิดขึ้นมาอย่างนั้น แล้วเวลามันเข้าไปเห็น มันต้องเห็นจริงด้วย ถ้าเห็นไม่จริง มันรู้ไม่ได้ มันทำไม่ได้ พอมันทำไม่ได้ขึ้นมา มันก็ปล่อยว่างๆ ปล่อยว่างอยู่อย่างนั้น ปล่อยว่างแล้วรักษาใจไว้นะ รักษาใจไว้ คนเคยพลาดมาก่อน..รู้ สิ่งที่พลาดมาก่อน ปล่อยว่างแล้ววางเฉย

เหมือนคนว่ายน้ำอยู่ เหมือนคนใส่รองเท้าส้นสูง ส้นสูงแล้วยันไว้นะ ส้นสูงมันเอาปลายเท้ายันไว้ นี่ก็เหมือนกัน ใจต้องยันตัวเองไว้นะ รักษาความว่างของตัวเองไว้ นี่ถึงว่าปล่อยว่างวางเฉย แล้วก็เวิ้งว้างนะ เผลอนะ เผลอเป็นไป แล้วก็ว่าอันนี้มันเป็นไป พอมันเป็นไปก็ออกไปอารมณ์โลกไง เกิดอารมณ์หวั่นไหวไปกับเขา ไอ้สิ่งนั้นเป็นอย่างไร แล้วไหนว่ากิเลสขาดไง? อ๋อ.. ไม่ได้ เราปล่อยว่างแล้วมันยังไม่วางเฉย

อันนั้นมันผิด ปล่อยว่างวางเฉยมันก็เป็นความหลอกอีกชั้นหนึ่งของกิเลส..

นี่ถึงบอกว่าเวลาเราหลับมาจากโลกแล้ว เราพยายามปลุกให้เราตื่นขึ้นมา ตื่นขึ้นมาแล้วนึกว่าเราจะทำงานแล้วจะได้ประโยชน์เลย ตื่นขึ้นมาทำงานแล้ว งานนั้นก็ยังมาขวางไปข้างหน้าไปอีก พอมันเป็นฌานมันส่งออกอย่างนั้น ถ้าเป็นฌานนะ แล้วมันจะบอกว่าไม่ให้เป็นฌานเลย ฌานกับสมาธิมันแบ่งกันตรงไหน?

มันอยู่ที่จริตนิสัย.. คนเราเพ่งกสิณนี่เป็นฌานหมดเลย กสิณ สมาบัตินี่เป็นฌาน นี่ส่งออก แต่ถ้ามันจะทำความสงบได้ด้วยวิธีนี้ก็ทำได้ พอทำได้แล้วมันยกวิปัสสนาทีหลังไง ยกขึ้นวิปัสสนาถ้ามันวิปัสสนา คือว่าครูบาอาจารย์จะให้ถอนเข้ามา คือไม่ให้ส่งออกออกไป ความรู้ต่างๆ นี่มันส่งออก ถึงว่าเกิดนิมิต เกิดต่างๆ นี่มันส่งออก รับรู้ต่างๆ เห็นแสง เห็นทุกอย่าง นี่มันส่งออก ส่งออกนี่มันเป็นธรรมชาติของจิตที่มันต้องรับรู้ ถ้ารับรู้ก็ว่าสิ่งนั้น..

อย่างหลวงปู่ดูลย์บอก “สิ่งที่เห็นนั้นไม่จริง.. เห็นจริง เห็นจริงๆ เลย แต่สิ่งที่เห็นนั้นไม่จริง” เห็นจริงหมายถึงว่าพอเกิดนิมิตนี่มันเห็นจริง เห็นจริงๆ ใช่ไหม?

เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการเห็นนั้นเห็นจริง แต่สิ่งที่เห็นนั้นมันเป็นสมมุติ มันเป็นการหลอกเอา หลอกเอานี่ส่งออกไป มันพยายามจะทำลายพลังงานของเราไง เราเกิดพลังงานขึ้นมา คือจิตมันเป็นฌานขึ้นมามันมีพลังงาน พอมีพลังงานนี่มันสงบเข้าไปมันไปเห็นสิ่งนั้น พอสิ่งนั้นมันก็ส่งออกไป แล้วก็ต้องสร้างพลังงานขึ้นมาตลอดเวลา

ถ้าไม่สร้างพลังงานขึ้นมาตลอดเวลา เกจิอาจารย์ เห็นไหม ทำเหรียญไม่ดีทุกรุ่นไป ถ้ารุ่นไหนจิตที่มันสงบ จิตที่มันดี เหรียญรุ่นนั้นจะดีมาก แล้วทำบ่อยๆ เข้าไป พอบ่อยๆ พลังงานใช้มาก บางรุ่นก็ไม่ขลัง บางรุ่นก็ไม่ดี เพราะพลังงานมันส่งออกไป นี่ก็เหมือนกัน พอจิตมันเป็นฌาน มันเห็นอะไรต่างๆ มันก็ส่งออกไป แล้วพอส่งออกไปมันก็หมดไปๆ

ถึงบอกว่าอันนั้นไม่ใช่ๆ เพื่อกลับมารักษาตรงนี้ รักษาพลังงานตัวนี้ไว้ แล้วพยายาม..พลังงานนี่บิดมันไง ทำให้มันเข้าไปวิปัสสนา ให้มันพยายามเข้าไปหากายก็ทำได้ ถึงจะเป็นฌานที่ว่ามันส่งออกก็ถ้ามีครูบาอาจารย์ก็ทำได้

อันนี้มันเกี่ยวกับจริตนิสัย ถ้าบอกว่าทำไม่ได้เลย ถ้าจิตที่มันเป็นอย่างนั้น มันกำหนดฌานขึ้นมา แล้วถ้ามันเป็นไปได้ มันถึงทำความสงบได้ ถ้าทำศีล สมาธิ ปัญญานี่ มันทำไม่ได้ขึ้นมา เห็นไหม

มันไม่มีการปิดกั้น ถึงบอกว่า “๔๐ ช่องทางนะ เรื่องฌานก็มีอยู่ใน ๔๐ ช่องทางนี้ กสิณนี่ทั้งหมดเลย เรื่องของ…” (เทปสิ้นสุดเพียงเท่านี้)